ต้องบอกเลยว่าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องของการดูแล palliativecare สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การหาความรู้ตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลคนป่วย หรือในบางกรณี เป็นการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อที่เมื่อถึงวาระและโอกาสของตนเองจะสามารถตัดสินใจได้
- อะไรคือการดูแล palliativecare
สำหรับคำว่าการดูแล palliativecareนั้นก็หมายถึงการดูแลคนป่วยแบบประคับประคอง โดยเน้นไปที่การดูแลให้คนป่วยจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์นั่นเอง เป็นการดูแลคนป่วยที่รักษาได้ไม่หายขาดจากโรคภัยต่างๆ และเป็นการดูแลให้สมาชิกในครอบครัวสามารถกอบกู้จิตใจได้หลังจากผู้ป่วยจากไป อีกทั้งยังลดความตึงเครียดของผู้ดูแลคนไข้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการรักษาแบบประคับประคองมีองค์การอนามัยโลกให้ความรู้เพิ่มเติมว่าเป็นการบรรเทาความทุกข์ทรมานจากตัวโรคให้กับคนป่วยได้ดียิ่ง
- ปัญหาที่เกิดขึ้นหากไม่ได้มีการปรึกษาหารือกับญาติคนป่วย
หากว่าคนป่วยนั้นได้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย สิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากที่สุดก็คือ การพยายามหาทางออกให้คนป่วย เพื่อที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม ซึ่งกรณีที่ไม่ได้ปรึกษาหารือกันก่อนแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ทางญาติคนไข้เองก็จะไม่รู้ว่าความต้องการของคนป่วยคืออะไรกันแน่ นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจ ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเกรงว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ทำให้ตนเองต้องแบกรับความทุกข์ของตนเอง นอกจากนี้เมื่อคนป่วยระบบอวัยวะในร่างกายเสียหายไปบางส่วน ทางคนดูแลก็สามารถตัดสินใจได้ว่า จะทำการรักษาต่อหรือไม่ เพื่อให้คนป่วยได้จากไปอย่างเต็มภาคภูมิความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องต่อท่อ ต่อสายให้อาหาร ไม่ต้องเจาะคอ ซึ่งยังผลให้เกิดความเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับคนป่วยมากกว่าจะปล่อยให้คนป่วยเสียชีวิตไปอย่างสงบอีกด้วย อย่างไรก็ดี หากว่าไม่ได้มีการปรึกษากันไว้ระหว่างคนไข้ ญาติคนไข้ที่อยู่ห่างไกล และคนดูแลใกล้ชิด จะเกิดการถกเถียงกัน โดยส่วนมากแล้วญาติ หรือลูกที่อยู่ไกลๆ จะอยากให้ยื้อชีวิตไว้สุดความสามารถ นั่นเป็นเพราะว่าตนเองไม่ได้แบกรับความรู้สึกเจ็บปวดของคนป่วยด้วยนั่นเอง ในขณะเดียวกัน คนที่ดูแลใกล้ชิดจะอยากให้คนป่วยไปแบบไม่ทุกข์ทรมาน และตระหนักว่าแท้ที่จริงแล้ว การเสียชีวิตก็คือการพักผ่อนอย่างสงบมากที่สุด
และนี่ก็คือสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้มาก่อนเกี่ยวกับการรักษาหรือการ palliativecare แม้จะเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทยแต่แพร่หลายในต่างประเทศมานานแล้ว และเป็นที่ยอมรับในสากลว่าดีต่อผู้ป่วยวาระสุดท้ายมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เหมาะสมกับคนที่ต้องการศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
